จะว่าแปลกก็ไม่ผิด

จะว่าแปลกก็ไม่ผิด
มันก็แปลกจริงๆ อย่างที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ว่า แต่ให้ทำยังไงได้..
กับบางเรื่องเราคงต้องยอมรับว่าเพียงแค่ทำให้ดีที่สุดตามเงื่อนไขที่มี กัปตันทีมหงส์แดงคงไม่ได้มีจุดประสงค์ตั้งคำถามหรือไม่เห็นด้วยอะไรกับแนวทางการชูถ้วยแชมป์ที่ออกมาของพรีเมียร์ลีกหรอก เขาเพียงตอบคำถามที่ถูกถามเท่านั้น
ถูกถามว่ารู้สึกยังไงถ้าต้องชูถ้วยแชมป์ต่อหน้าอัฒจันทร์ที่ว่างเปล่า ถ้าเราเป็นเขาเราจะตอบว่าอย่างไร ยินดีมากๆ เลย หรือ ไม่เอาเด็ดขาด ยังไงก็ไม่เอา มาตรการอะไรกันออกมาได้ยังไงไม่เห็นจะได้เรื่อง..
จะให้เขาตอบแบบนั้นได้ยังไงในเมื่อทุกคนต่างก็เข้าใจกันดีอยู่ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร
ลองนึกภาพตามไปมันก็คงแปลกๆ อย่างที่เฮนโด้ว่านั่นแหละ เดินลงสนามไปที่เวทีซึ่งถูกเตรียมไว้ รับมอบถ้วยแชมป์จากแขกกิตติมศักดิ์ของพรีเมียร์ลีก ซอยเท้ายิกๆๆ ในท่าเดิมกับที่ชูถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตามองเพื่อนร่วมทีมที่กำลังครื้นเครง แล้วก็หันกลับมาชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกขึ้นฟ้าพร้อมเอฟเฟกต์ควันและเศษกระดาษสีแดงระเบิดพุ่งขึ้นมาด้านหลังเวทีให้ดูยิ่งอลังการ
อาจจะมีเสียงเชียร์ที่เจ้าหน้าที่สนามเปิดหลอกเพื่อเพิ่มบรรยากาศไม่ให้กร่อยเกินไป.. หรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ แต่ที่แน่ๆ ไม่ว่าพิธีการมอบถ้วยแชมป์จะมีขึ้นที่สนามไหนเวลาใด บทอัฒจันทร์ก็จะร้างผู้คน
มันก็ต้องแปลกอยู่แล้ว เฮนเดอร์สันพูดไม่ผิดเลยสักคำ
มันคือสิ่งที่เขาเองก็บอกว่าต้องยอมรับให้ได้ อย่างน้อยมันก็หมายความว่าฤดูกาล 2019/20 ได้บทสรุปตามที่ตั้งใจ ชีวิตมีเรื่องผิดแผนมากมาย โควิด-19 ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ชีวิตของหลายๆ คนผิดแผนรวมไปถึงลิเวอร์พูล
เดอะค็อปคงไม่คร่ำครวญอะไรหรอก ไม่เรียกร้องความชอบธรรมอะไรด้วยเพราะเข้าใจดีว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งที่พวกเขาจะทำก็คงหาวิธีฉลองของตัวเอง อาจจะดื่มด่ำอยู่คนเดียว รวมกลุ่มเพื่อน หรือตกแต่งรถแห่เอาให้สนั่นเมือง เอาได้เลยเต็มที่ขอแค่อย่าทำอะไรล้ำเส้นกฎหมายบ้านเมือง
วินาทีแห่งการเฉลิมฉลองยังมีอยู่ วินาทีที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ได้ชูถ้วยขึ้นเหนือศีรษะก็เป็นวินาทีที่เดอะค็อปเฝ้ารอชม หากไม่มีก็เหมือนอะไรขาดหายไปต่อให้ทีมได้รับการตัดสินว่าเป็นแชมป์
เพราะการชูถ้วยแชมป์คือไฮไลต์ของการแข่งขันตลอดฤดูกาล เป็นพิธีการที่ขาดไม่ได้
โอเคจะมีพิธีการหรือไม่มีพิธีการก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสถานะแชมป์ของคุณอยู่แล้ว มันไม่คลอนแคลน ไม่ได้กระทบกระเทือนกับตำแหน่งแชมป์จนต้องถูกริบอะไรอย่างนั้นเสียหน่อย แต่มันคือฉากจบที่จำเป็น
เหมือนดูหนังต้องมีฉากจบ เหมือนดูละครก็ต้องมีตอนอวสาน
ฤดูกาลตัดจบ ได้รับการตัดสินให้เป็นแชมป์ ไม่ใช่ฉากจบ นั่นเป็นเพียงบทสรุปแต่ไม่ใช่ฉากจบ พิธีการมอบถ้วยต่างหากคือฉากจบ
ฉะนั้นถ้าเรามองพรีเมียร์ลีกเป็นหนังสักเรื่อง ฉากจบจึงจำเป็นต้องมี หรือมองไปรอบๆ ดูลีกอื่นที่ประกาศตัดจบไปอย่างลีกเอิงฝรั่งเศส ลีกเอเรดิวิซี่ของฮอลแลนด์ ลีกจูปิแลร์ของเบลเยียม หรือลีกพรีเมียร์สกอตต์ของสกอตแลนด์ บางทีลีกต่างๆ เหล่านั้นกำลังจะทำฉากจบของตัวเองอยู่ก็ได้คือมีพิธีการมอบถ้วยแชมป์แม้ว่าโอกาสไม่มีจะเป็นไปได้มากกว่า
มองในอีกมุมหนึ่ง มันก็เป็นการรับถ้วยแชมป์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ คือรับมอบกันต่อหน้าอัฒจันทร์รอบด้านที่ว่างเปล่า เต็มที่คือมีคนดูแค่ 200-300 คนเท่านั้น
จะอย่างไรนี่ก็จะเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้และนำมาฉายซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านๆ รอบ
จนกระทั่งวันหนึ่งเราจะเห็นว่าเอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้แปลกเท่าไหร่นี่ มันก็เป็นเสี้ยวหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์อันยาวนานของฟุตบอลลีกอังกฤษและสโมสรลิเวอร์พูล
หากที่แน่ๆ ในอีก 20 ปี 30 ปี 50 ปีข้างหน้า เราเห็นก็ยังจำมันได้ว่าภาพนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ต่อให้จำวันหรือจำฤดูกาลไม่ได้ก็ยังจำเหตุผลของมันได้ว่าเพราะอะไรถึงต้องชูถ้วยกันในสนามที่ว่างเปล่า
กับภาพชูถ้วยแชมป์ลีกบางภาพเรานึกไม่ออกว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่หรือปีไหน ลองเอาภาพฉลองแชมป์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยูเวนตุส เปแอสเช บาเยิร์น มิวนิค หรือ กลาสโกว์ เซลติก ที่คว้าแชมป์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาเปิดดูอีกครั้งก็ได้ เรานึกออกไหมว่าแต่ละรูปเกิดขึ้นเมื่อไหร่ วันอะไร ปีอะไร
เราอาจจะจำไม่ได้แม้กระทั่งช่วงเวลานั้น เห็นแค่ภาพชูถ้วยแต่นึกไม่ออกว่าฤดูกาลอะไรหรือปีนั้นมีไฮไลต์สำคัญๆ อะไรบ้าง ก็เพราะครั้งไหนๆ ก็ดูเหมือนกันไปเสียหมด ต่างกันแค่ทีมแชมป์ เสื้อของทีมแชมป์ กัปตันทีมแชมป์คนที่ชูถ้วย
หากในภาพรวม มันก็เหมือนๆ กัน ไม่ต่างกัน แฟนบอลเต็มสนาม ถ้าเกมนั้นเป็นเจ้าบ้านก็หายห่วงกองเชียร์ยังอยู่กันเต็มไม่มีใครกลับบ้านก่อนแน่ แต่ถ้าเกมนั้นออกไปเยือนมันก็ยังเยอะอยู่ดีเพราะแฟนบอลของตัวเองจะตามไปอออยู่หน้าสนามเพื่อรอเวลาได้เบียดเสียดเข้าไปในสนามหลังจบเกม
ใครๆ ก็อยากดูพิธีการมอบแชมป์ทั้งนั้น
แต่กับลิเวอร์พูล.. มันจะไม่มีแฟนบอลระเบิดเสียงเฮฉลองในสนามวินาทีที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ชูถ้วย แต่เราจะรู้เมื่อมาดูมันทีหลังไม่ว่าเวลาจะผ่านไปอีกนานเพียงใด
เพราะมันคือบทบันทึกถึงเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าครั้งเดียวในประวัติศาสตร์
ไม่ได้เห็นสดๆ ด้วยตาหรอก แต่ในวันนั้นอีก 30 ปีข้างหน้า 50 ปีข้างหน้าใครมาดูก็จะยังนึกออกว่าพิธีมอบถ้วยแชมป์ในภาพนี้เกิดขึ้นในช่วงที่โลกปั่นป่วนจากโควิด-19
มันอาจจะแปลกถ้าดูด้วยตา.. แต่ล้ำค่าและมีความหมายตลอดไปต่างหากถ้าพิจารณามันด้วยใจ
นับถอยหลังรอวันนั้นกันดีกว่าเดอะค็อป อย่าเป็นกังวลอะไรไปเลย..
.
.
บทความโดย :: ป้าพล็อต
ติดตามข่าวสารได้ที่ :: ข่าวฟุตบอลต่างประเทศ
บทความก่อนหน้า :: อนาคตของแวร์เนอร์