เดินหน้าต่อไป

ชัยชนะเหนือ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เมื่อคืนวันเสาร์
สะท้อนคุณลักษณะของลิเวอร์พูลในยุคเจอร์เก้น คล็อปป์ให้เราเห็น
บอลที่ไม่เคยยอมแพ้ สู้และสู้และวิ่งไล่ล่าเพื่อเอาชัยให้ได้
แน่นอนทีมหงส์แดงยังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากปัญหาใหญ่ที่ต้องเสีย เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ หลายเสียงอดค่อนขอดไม่ได้ว่าเมื่อพวกเขาไร้ยักษ์ใหญ่ดัตช์คุมแดนหลังก็ไม่ต้องพูดเรื่องป้องกันแชมป์ โยนทิ้งไปได้เลย
มันก็ตลกที่ด่วนตัดสินกันอย่างนั้น ความเชื่อมั่นและศรัทธาเป็นเรื่องของคนเฉพาะกลุ่ม จะหักล้างหักดิบกันง่ายๆ ด้วยเงื่อนไขเพียงข้อเดียวอย่างนี้ดูจะมักง่ายเกินไปหน่อย
ฟุตบอลไม่ได้เล่นคนเดียวหากแต่เล่นเป็นทีม ทีมตัวจริงในสนาม ทีมสำรองข้างสนาม พร้อมผู้จัดการทีมและสตาฟฟ์โค้ช
การที่ฟุตบอลเตะกันไปได้แค่ 5 นัดแล้วด่วนตัดสินอนาคตของทีมใดทีมหนึ่งในนัดที่ 38 ด้วยการใช้คำพูดถากถางแสดงความเชื่อมั่นเต็มประตูว่ามันต้องเป็นอย่างที่กูคิดแน่ๆ คือการแสดงออกที่เกินเลยอยู่สักหน่อย แน่นอนการคาดการณ์นั้นไม่ผิดแต่การเลือกใช้คำหรือประโยคในการแสดงความคิดเห็นต่างหากที่เป็นเรื่องเฉพาะตัว ขึ้นอยู่กับระดับความคิดของแต่ละคน
ประเภทที่สักแต่ว่าบ่น ขอแค่ให้ด่า และมองทุกเรื่องในด้านลบไปหมดนั่นหลายครั้งก็เป็นเรื่องไม่จรรโลงวงการ ไม่มีประโยชน์ ปัญหาก็คือด้วยธรรมชาติของคนเรามักจะหมกมุ่นอยู่กับคำพูดด้านลบของผู้คน สลัดไม่หลุดด้วยคำดูถูกหนักๆ คำด่าแรงๆ มันวนเวียนอยู่ในหัวไม่ยอมไปไหน
ฟุตบอลที่เพิ่งเตะกันไปแค่ 5 นัด คุณอย่าเพิ่งตัดสินเขา เพราะมีมากมายที่ทีมเริ่มต้นดีกลายเป็นแย่ เริ่มต้นแย่กลายเป็นดี
เกมป้องกันของลิเวอร์พูลเปลี่ยนไปในยุคที่ไม่มี ฟาน ไดค์ โดยแนวกองหลังทั้ง 4 ไม่ยืนสูงถึงครึ่งสนามเหมือนฤดูกาลที่แล้วรวมทั้งช่วงเริ่มต้นฤดูกาลนี้
เป็นเรื่องที่คาดกันได้ คล็อปป์จำเป็นต้องลดโอกาสบีบพื้นที่แย่งบอลในแดนคู่ต่อสู้ลงเพื่อเพิ่มโอกาสให้เกมรับมีความรัดกุมมากขึ้น อย่างน้อยก็ในช่วงเวลานี้ที่ทุกอย่างยังไม่ลงตัว คู่เซนเตอร์แบ๊กตัวจริงจะเป็นใครยังไม่รู้ด้วยซ้ำเพราะ โจแอล มาติป ไม่สมบูรณ์ก็ต้องอาศัย ฟาบินโญ่ ยืนคู่ โจ โกเมซ ไปก่อน
เมื่อคุณเสียกองหลังตัวหลัก คุณก็ต้องจัดการกับเกมรับใหม่ให้มีประสิทธิภาพเท่ากับของเดิมที่สุดหรือถ้าจะแย่กว่าเดิมก็ต้องแย่ลงให้น้อยที่สุด อย่างน้อยต้องให้ใกล้เคียงกับมาตรฐานที่เคยเป็น
หากหลายครั้งที่การจัดการนั้นกลับได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อเพราะไม่เพียงเท่ากับของเดิมเท่านั้นแต่ยังดีขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
กับกรณีของคู่เซนเตอร์แบ๊กหงส์แดงหลังยุค ฟาน ไดค์.. มีโอกาสเป็นไปได้ไหม ก็ต้องบอกว่าฟุตบอลมีเรื่องเป็นไปไม่ได้ที่กลายเป็นจริงเยอะแยะไปหมด
โจ โกเมซ ได้รับเลือกเป็นแมนออฟเดอะแมตช์จากแฟนบอลลิเวอร์พูลในเกมนี้ เมื่อบวกผลงานที่เขากลายเป็นเซนเตอร์แบ๊กตัวแรกทันทีหลังฟาน ไดค์เจ็บตั้งแต่ต้นเกมที่เจอเอฟเวอร์ตันก็พบว่ากองหลังทีมชาติอังกฤษยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นคนที่ฝากความหวังได้
สถานการณ์สร้างวีรบุรุษเสมอ โอเคผลงานของโกเมซยังห่างไกลจากคำว่าวีรบุรุษมากนัก แต่ 2 เกมล่าสุดที่เขาได้เล่นเป็นปราการหลังตัวกลางอันดับหนึ่งเต็มเวลา ลิเวอร์พูลจบการแข่งขันด้วยชัยชนะทั้ง 2 นัด ชนะอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม 1-0 ชนะเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-1
ไม่เสียประตูจากจังหวะโอเพ่นเพลย์เลย
ในมุมของแฟนบอลมองได้หลายแบบ คนที่ยังคงมองในแง่ลบก็จะมองแต่แง่ลบ อาแจ๊กซ์ กับ เชฟฯ ยูไนเต็ด ยังไม่ใช่ของจริง เดี๋ยวเจอของจริงเมื่อไหร่ก็เละ
ก็ไม่ว่ากัน จะดูถูกนักเตะของตัวเองต่อไปก็เชิญตามสบาย แต่คุณต้องรู้ไว้ว่ายังมีแฟนบอลอีกมากที่มองเห็นทีมรักในด้านตรงข้าม
สองเกมที่ผ่านมา โกเมซมีผลงานส่วนตัวที่โดดเด่นเอาเรื่อง มีสมาธิกับเกม สกัดบอลจังหวะสำคัญๆ บล็อกลูกยิงของคู่แข่ง กระโดดแย่งโหม่ง รวมทั้งกล้าพาบอลขึ้นมาเปิดเกม ทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายได้ไม่เลวเลยและหน้าที่นั้นต้องอาศัยความรับผิดชอบที่มากขึ้นด้วย
ยังมีบททดสอบรอโกเมซและแนวรับของลิเวอร์พูลอยู่อีกมาก และมันคือบททดสอบของจริง ลงพื้นที่จริง พลาดแล้วถูกลงโทษจริง ไม่มีหยวน ไม่มีกดรีสตาร์ตเล่นใหม่
มันไม่ใช่งานง่ายแน่นอน แต่สิ่งที่แน่นอนอีกเรื่องคือไม่มีทางที่โกเมซและคณะกองหลังจะต้องรับมือกับงานหนักนี้ตามลำพัง
ฟุตบอลเล่นกันเป็นทีม มีตัวจริง ตัวสำรอง ผู้จัดการทีมและสตาฟฟ์โค้ช มีกองหลัง กองกลาง กองหน้า ผู้รักษาประตู มีแท็คติกให้หยิบจับมาใช้นับไม่ถ้วน
ในเงื่อนไขหนึ่งคุณเล่นอย่างหนึ่ง แต่เมื่อเงื่อนไขเปลี่ยนคุณไม่จำเป็นต้องเล่นแบบเดิม ไม่มีใครบังคับ คุณอาจไม่เปลี่ยนการเล่นก็ได้ หรือเปลี่ยนก็ได้มันคือการตัดสินใจของคุณ มีข้อดี มีข้อเสีย
เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เจ็บ แต่ลิเวอร์พูลก็ชนะมา 2 เกมติดต่อกันแล้ว ชนะในเกมที่ยากเสียด้วยเพราะคู่ต่อสู้ทั้งอาแจ๊กซ์และเชฟฯ ยูไนเต็ด เล่นดีมาก กล้าต่อบอลเข้าใส่อย่างไม่กลัว
ยังไม่เจอของจริง? ไม่เป็นไร เจอเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ใครอยากจะแช่งก็เชิญ คนที่อยากจะเชียร์สุดใจไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นยังมีอีกมหาศาล
แพ้ก็ยอมรับและทำความเข้าใจในความพ่ายแพ้ ไม่ตีอกชกตัวหาคนผิด วิเคราะห์สาเหตุมองหาเหตุผลที่ทำให้แพ้ เชื่อมั่นในทีมงานของคล็อปป์และนักเตะว่าจะแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นหรือพยายามแก้ไข แล้วก็ตามเชียร์ตามให้กำลังใจกันต่อไป
ฟุตบอลคือกีฬา ไม่มีกีฬาไหนที่มีแต่ผู้ชนะ ถ้าอย่างนั้นมันไม่ใช่กีฬา
แฟนบอลลิเวอร์พูลที่เข้าใจความเป็นกีฬามีมากมาย แพ้และชนะคือกลไกที่ทำให้ทีมกีฬาขับเคลื่อนไปได้ ทำให้ฟันเฟืองของวงการหมุนต่อไปได้
หลายคนจึงมองความพ่ายแพ้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่อะไรสักอย่างที่คอขาดบาดตายยอมปล่อยผ่านไม่ได้เลย
เปรียบเทียบกับทีมใหญ่ทีมอื่นๆ หรือทีมร่วมลีกทั้งหมดแล้ว ลิเวอร์พูลไม่ได้ดูแย่กว่าใครเลยสักทีม ยังคงเก็บสามคะแนนที่ต้องการได้แม้จะเป็นเกมยาก
เตะ 6 ชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 1
2 ใน 6 เกมนั้นคือการเอาชนะทีมใหญ่ด้วยกันทั้ง เชลซี และ อาร์เซน่อล ลิเวอร์พูลยังอยู่บนเส้นทางป้องกันแชมป์อย่างมั่นคง
เดินหน้ากันต่อไป เล่นเพื่อ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ใครจะไปรู้เล่าบางทีเกมรับอาจทำให้ลิเวอร์พูลเป็นแชมป์อีกฤดูกาลก็ได้..
บทความโดย :: ป้าพล็อต
อ่านข่าวฟุตบอลต่างประเทศ :: ข่าวฟุตบอลวันนี้
บทความฟุตบอล :: บทความฟุตบอลก่อนหน้านี้
เว็บดูบอลออนไลน์ :: ดูบอลออนไลน์ฟรี