Spice World ของ Spice Boy
พอล คุ้ก แฟนบอลลิเวอร์พูลแทบไม่รู้จักเขา นี่คือลิเวอร์พัดเลี่ยน (Liverpudlian) และเดอะ ค็อปตัวยง ขาประจำของเกมที่แอนฟิลด์ เขาเคยฝึกซ้อมร่วมทีมเยาวชนลิเวอร์พูลในยุค 70 “นั่นคือเรื่องดีที่สุดในชีวิต” ก่อนลงเอยด้วยความผิดหวังเมื่อลิเวอร์พูลส่งข้อความบอกเขาว่า ไม่เก่งพอที่จะเล่นฟุตบอล ลีก
ต่อมาพอล คุ้กเล่นฟุตบอลอาชีพเกือบ 600 นัด และเจอกับลิเวอร์พูลในสนาม เช่นเดียวกับผิดหวังเมื่อทีมเซ็นสัญญากับนักเตะที่เขาคิดว่า “ห่วยแตก” กว่าเขา
14 มีนาคม 1995 โคเวนทรีและพอล คุ้กมาเยือน แอนฟิลด์ นั่นคือครั้งแรกและครั้งเดียวของเขาและโคเวนทรี ที่บุกชนะลิเวอร์พูลถึงบ้าน ปีเตอร์ เอ็นด์เลิฟ นักเตะซิมบับเวที่ลิเวอร์พูลอยากได้ในหน้าร้อนปี 1994 ทำแฮตทริคฝังลิเวอร์พูลคาบ้าน เป็นแฮตทริคของนักเตะทีมเยือน หลังจากเทอร์รี่ ออลค็อก ทำได้เมื่อปี 1962
คุ้กเป็น ¼ สายเลือดเมืองลิเวอร์พูลในทีมของรอน แอตกินสัน สำหรับโคเวนทรีแล้ว เกมสำคัญกว่าคือ เซาแธมป์ตันหรือดาร์บี้ เพราะคือการหนีตกชั้น แต่กับลิเวอร์พูล นี่คือเกมที่เล่นโดยไร้ความกดดัน แผนการของลิเวอร์พูลคืออย่าให้บอลถึงสตีฟ แม็คมานามาน ในทีมซึ่งประกอบด้วย แจน โมลบี้ ฮีโร่ของเขา และ ไมเคิ่ล โธมัส เขาต้องประหลาดใจกับสภาพสนามแอนฟิลด์ ซึ่งจินตนาการเหมือนพรม แต่ความเป็นจริง แล้วไม่ใช่
คุ้กไม่ได้ฉลองชัยชนะเหนือทีมรัก แค่ออกไปดื่มกับเพื่อน ไมค์ มาร์ช ที่ผับใกล้สนาม เป็นภาพแปลกตา สองสเกาเซอร์ มีตั๋วปีที่แอนฟิลด์ สวมชุดวอร์มโคเวนทรี อยู่ในหมู่เพื่อนๆ และครอบครัว เขาบอกว่า แทบทุกคนแถวบ้านมาคุยกัน สำหรับเขานึกในใจว่า “เป็นไปได้ยังไง ลิเวอร์พูลแพ้เราคาบ้าน” ทีมที่พยายามหามนต์วิเศษเพื่อกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่
ยุคนั้นไม่มีโซเชียลมีเดีย ช่องทางด่าสโมสรคือหนังสือพิมพ์ หรือไม่ก็วิทยุ ในที่สุดคำว่า Spice Boy ก็เกิดขึ้น
หนังสืออัตชีวะประวัติของร็อบบี้ ฟาวเลอร์ มี บทที่อุทิศให้เรื่องนี้ Spice World ไม่ใช่เรื่องที่เขาภูมิใจและประทับใจ ฐานะดาวยิง 30 ประตู 3 ฤดูกาลติดต่อกัน ก่อนอายุครบ 21 ปี แต่ถูกมองข้ามด้วยคำสองคำ
ฟาวเลอร์เล่นนัดแรกให้ลิเวอร์พูลยุคของแกรม ซูเนสส์ ผจก ก่อนรอย เอแวนส์ กัปตันและตำนานของสโมสร ถูกแปรสภาพเป็นอีกอย่าง หลังการล้มเหลวในการคุมทีม ซูเนสส์นำประสบการณ์จากการเล่นในอิตาลี 2 ปี บวกแนวคิดว่า ฟุตบอลเปลี่ยนไปมาใช้กับลิเวอร์พูล ลงทุนอย่างหนักทั้งในและนอกสนาม เขากลับอังกฤษปี 1986 แต่เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของฟุตบอลโดยเอซี มิลาน นักเตะต้องเป็นมืออาชีพในทุกเรื่อง ตั้งแต่อาหารการกิน วิทยาศาสตร์การกีฬาเป็นส่วนสำคัญของทีม จิตแพทย์และกลยุทธ
เจ็ดปีของซูเนสส์ในการเล่นให้ลิเวอร์พูล เต็มไปด้วยความสำเร็จ การครอบครองบอล เช่นเดียวกับความไว้วางใจในหมู่นักเตะ พื้นฐานะทุกอย่างมีความสำคัญ เขาพยายามนำสิ่งที่เรียนรู้มาใช้กับลิเวอร์พูล แต่โดนต่อต้าน โดยเฉพาะคนที่ทันยุคเขาลงสนาม พร้อมฉายา แชมเปญ ชาร์ลี ซูเนสส์ต้องการล้างบางทุกอย่าง แต่เร็วเกินไป อันดับของทีมแย่กว่า นักเตะรุ่นใหม่ เคว้งคว้าง ปราศจากรุ่นพี่คอยนำทาง
การแต่งตั้ง รอย เอแวนส์ แทนซูเนสส์ ปี 1994 นำระบบเดิมๆกลับมาสู่ลิเวอร์พูล สวนทางกับฟุตบอลในยุคพรีเมียร์ ลีก การทุ่มทุน นักเตะมีรายได้ดีกว่าเมื่อก่อน สื่อที่ทำให้ฟุตบอลน่าสนใจมากขึ้น ข่าวฟุตบอลทำให้ทุกอย่างขายได้ บางทีฟุตบอลเป็นข่าวหน้าหนึ่ง ไม่ใช่ข่าวหน้าหลังอย่างเดียว
คนสนใจแต่ผู้ชนะ ซึ่งทำอะไรก็ได้ แต่หากล้มเหลว ยากที่จะหาที่ยืน
การเป็นผจก ลิเวอร์พูล ไม่มีอะไรช่วยบรรเทาเวลาคุณผิดพลาด เอแวนส์ บอกแบบนี้ เพราะสโมสรยึดมั่นแนวคิด ที่หนึ่งคือที่หนึ่ง ที่สองไม่มีค่า เอแวนส์ ผลงานดีกว่าซูเนสส์ ทีมไม่เคยหยุดจาก 4 อันดับแรก ซึ่งต่อมาดีพอสำหรับแชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ระหว่าง 1994-98 ที่สี่ ไม่มีความหมาย เอแวนส์จากไปหลังจากทำงานกับสโมสรนาน 3 ทศวรรษ และเชลาร์ อุลลิเยร์สานงานต่อโดนลำพัง หลายอย่างที่อุลลิเยร์ ซูเนสส์เคยใช้
“สโมสรหลงทางอยู่หลายปี นักเตะอยู่ตรงกลางของปัญหา” จอห์น สเกลส์ พูดอย่างนี้ เช่นเดียวกับวิจารณ์ตัวเองและเพื่อนร่วมทีม
เจมี่ เร้ดแน็ปป์ กัปตันทีมคนหนึ่งบอกว่า ลิเวอร์พูลที่แพ้นัดชิงเอฟเอ คัพ 1996 ถูกตราหน้า ทั้งที่พวกเขาไม่ใช่คนหน่อมแน้มอะไร นักเตะยุคนั้นอาจชอบเข้าสังคม พบปะเฮฮากัน ไม่แตกต่างจากยุคอื่น ซึ่งประสบความสำเร็จ เร้ดแน็ปป์บอกว่า “ไม่มีพวกเราคนไหนไปเที่ยว คืนวันพฤหัสวันศุกร์ก่อนเกมแน่นอน หากพวกเราทำแบบนั้น ก็สมควรโดนด่า แต่ไม่มีใครทำนะ”
หลายเรื่องที่เป็นข่าวตอนนั้น สำหรับ สไปซ์ บอยส์ ระหว่างปี 1995-1998
ฟาวเลอร์เดตกับเอ็มมา บันตัน หลังทั้งสองนั่งโต๊ะเดียวกันในงาน บริต อวอร์ดส์: ไม่เป็นความจริง
นักเตะลิเวอร์พูลเล่น พาวนด์ เกม ด้วยการส่งเหรียญพาวนด์ต่อๆกันไประหว่งเกม เมื่อหมดเวลาการแข่งขัน เหรียญอยู่ที่ใคร คนนั้นเลี้ยงเบียร์เพื่อนทั้งทีม: จริง
เดวิด เจมส์ ขาดซ้อมเพราะถ่ายแบบให้อาร์มานี่ที่มิลาน: จริง
ฟาวเลอร์กับรัดด็อก ฟาดปากกัน ระหว่างทางกลับจากสนามบินลิเวอร์พูล หลังเกมที่วลาดิคาฟคัซ เพราะฟาวเลอร์ เอากรรไกรตัดรองเท้าหนังของร็อดด็อก: จริง
เจสัน แม็คเคเธียร์กับฟิล บ๊าบบ์เป็นคู่เกย์: ไม่จริง
แม็คเคเธียร์ เดตกับเมลานี คริสโฮล์ม ดอนน่า แอร์ และไดโด้ อันนี้ จริงบ้างไม่จริงบ้าง า
ข่าวที่สาธารณชนรับรู้คือ
ทีมลิเวอร์พูลสวมสูทของเดล มอนเต้ ก่อนนัดชิง เอฟเอ คัพ 1996
รถบัสของทีมไปเวมบลี่ย์ สนับสนุนโดยเอ็มโพเรี่ยม ไนท์ คลับ
การถ่ายภาพทีมก่อนฤดูกาล 1996/97 มีนางแบบหน้าสาม (นางแบบนู้ด) แคธี ลอยด์ สวมชุดของเดวิด เจมส์
หนังสือสำหรับผู้ชาย สัมภาษณ์นักเตะหลายคน อาทิ Loaded พร้อมพาดหัวว่า Birds Booze and BMWs สาว เหล่า และรถหรู
แม็คเคเธียร์ โฆษณายาสระผม เฮด แอนด์ โชลเดอร์ ในทีวี ตามด้วยเป็นนายแบบของ Top Man
เจมี่ เร็ดแน็ปป์ แต่งงานกับหลุยส์ นอร์ดิ้ง จากอีเทอร์นั่ล
ชนะนิวคาสเซิ่ล 4-3 มีลุ้นแชมป์อีกครั้ง ก่อนแพ้โคเวนทรี ทำให้หมดลุ้น
ประตูจอมผิดพลาด เดวิด เจมส์ ได้ฉายา Calamity James หรือเจมส์ มืออ่อน
บางเรื่องที่นักเตะยอมรับในเวลาต่อมาว่าจริง
โดมินิค มัตเตโอ กับรัดด็อก ดื่มกันทั้งคืน รวมถึง ดื่มแชมเปญตอน 10 โมงเช้า รวมถึงเล่นสกี ในทะเลสาปวินเดอร์เมียร์ ระหว่างเมาเหล้า โดยรัดด็อกมีคำขวัญประจำตัวว่า แพ้หรือชนะ ดื่มไว้ก่อน
บางเกม พวกเขาบินจากแมนเชสเตอร์ไปฮีธโธร์ว เขาพักที่โรงแรมฮัลกิ้น ก่อนมุ่งหน้าตะลุยผับย่านโซโห รวดเดียว 4 แห่ง
ทีมมีปาร์ตี้ที่คลับ เอ็มโพเรี่ยม ร่วมกับคนดังมากมาย เช่น เจย์ เคย์ จากจามาโรไคว แม้ลิเวอร์พูลแพ้ในนัดชิง 1996
นักเตะกินเบค่อน แซนด์วิชซึ่งซื้อมาจากข้างนอก ก่อนเข้าเมลวู้ด และรัด็อกกล้าล็อคคอเอแวนส์เล่น
ความสัมพันธ์ระหว่าง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ และ สแตน คอลลีมอร์ หมางเมิน นับแต่นักเตะค่าตัวแพงสุดมาถึงแอนฟิลด์
กิตติกร อุดมผล
Facebook fanpage: Captain No.12
ติดตามข่าวสารได้ที่ :: ข่าวฟุตบอลต่างประเทศ
บทความก่อนหน้า :: ข้อเท็จจริงมักเป็นเรื่องที่รับได้ยาก