" "

ก้าวมาไกลของหงส์แดง

ก้าวมาไกลของหงส์แดง

ก้าวมาไกลของหงส์แดง

โทนี่ โมวเบรย์ ที่ปัจจุบันคุมทีม แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ให้คำจำกัดความลิเวอร์พูลของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เอาไว้ว่า Pressing machine

แบล็คเบิร์นถูกลิเวอร์พูลถล่มขาดลอย 0-6 ในเกมอุ่นเครื่องที่แอนฟิลด์เมื่อไม่กี่วันก่อน และจากบทสัมภาษณ์ของโมวเบรย์หลังจบเกมก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าทีมหงส์แดงในเวลานี้มีมาตรฐานที่สูงลิบ

ทีมกุหลาบไฟอาจจะเป็นแค่ทีมจากลีกแชมเปี้ยนชิพ อันดับอยู่กลางๆ ตารางที่ยังมีลุ้นพื้นที่เพลย์ออฟขึ้นพรีเมียร์ลีก แต่การให้สัมภาษณ์แบบหวานหยดที่มีให้กับลิเวอร์พูลนั้นยิ่งบอกกับเราถึงความแตกต่างระหว่างทีมที่เป็นแชมป์โลก แชมป์ยุโรป และว่าที่แชมป์พรีเมียร์ลีก กับทีมระดับลุ้นเพลย์ออฟแชมเปี้ยนชิพว่าต่างกันมากมายจริงๆ ในปัจจุบัน

โมวเบรย์บอกว่าแค่ได้รู้ว่าจะได้เล่นกับลิเวอร์พูลที่แอนฟิลด์ ลูกทีมของเขาก็ดีใจกันมากแล้ว เพราะโอกาสที่จะได้วัดฝีเท้ากับทีมที่เป็นระดับแชมป์โลกและเบอร์หนึ่งของวงการนั้นไม่ได้มีบ่อยๆ

ที่สำคัญคือโมวเบรย์ยอมรับว่าเมื่อได้ปะทะกันจริงๆ ก็ยิ่งรู้เลยว่าทีมของเขายังห่างไกลจากหงส์แดงเหลือเกิน เกมเพรสซิ่งของลิเวอร์พูลที่อดีตนายใหญ่เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน เซลติก มิดเดิ้ลสโบรช์ และโคเวนทรี ให้นิยามว่าทำให้ทีมแชมป์โลกเป็น Pressing machine นั้นเล่นงานเกมของแบล็คเบิร์นจนไม่ปะติดปะต่อ

ทำอะไรไม่ได้เลย ไม่ระคายผิว

ทำอะไรไม่ได้เลยในที่นี้คือทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ อดีตแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อปี 1995 ต่อบอลกันได้แค่ไม่เกิน 3 ครั้งก็เสียการครองบอลให้เจ้าบ้านเสียแล้ว

นั่นคือความแตกต่าง ณ เวลานี้ ระหว่างแชมป์โลกที่กำลังจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกและทำคะแนนทิ้งห่างอันดับสอง 25 นัดด้วยสถิติเตะ 29 ชนะ 27 เสมอ 1 แพ้ 1 กับทีมระดับกลางตารางแชมเปี้ยนชิพ

เล่นในพรีเมียร์ลีกยังมีสถิติน่าเหลือเชื่อขนาดนั้น ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ว่าทำไมแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ของโมวเบรย์ถึงถูกถลุงยับเยินครึ่งโหลในเกมที่ต่อบอลกันได้ไม่เกิน 3 ครั้งในแต่ละจังหวะ

นั่นคือมาตรฐานของลิเวอร์พูลที่ คล็อปป์ พยายามสร้างมาและรักษามันเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ต่อยอดให้มาตรฐานนั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ

เกมกับแบล็คเบิร์นคงยังวัดอะไรมากไม่ได้แต่มันก็เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าฟุตบอลนั้นเปลี่ยนแปลงเร็วเหลือเกิน กลางทศวรรษที่ 90 ทีมกุหลาบไฟยังเป็นเบอร์หนึ่งของอังกฤษอยู่เลยแต่มาถึงตรงนี้ก็ตกต่ำไปตามสภาพ

เช่นเดียวกับทีมที่เคยโลดแล่นสร้างชื่อในพรีเมียร์ลีกอีกมากมาย ลีดส์ ยูไนเต็ด ฟูแล่ม ควีนส์พาร์ค เรนเจอร์ส มิดเดิลสโบรช์ พอร์ทสมัธ โบลตัน วันเดอเรอร์ส ทีมเหล่านี้ต่างเคยสร้างผลงานเอกอุเขย่าวงการลูกหนังเมืองผู้ดีมาแล้วทั้งนั้น บางทีไปไกลถึงการเข้าชิงถ้วยยุโรปด้วยซ้ำ

มาคิดๆ ดูอีกทีก็น่าใจหาย ทีมที่จะยืนระยะในระดับสูงสุดได้ยาวนานในวงการฟุตบอลนั้นเรื่องสถานะจำเป็นจริงๆ

ลิเวอร์พูลอยู่ในข่ายทีมที่มีสถานะใหญ่ เป็นทีมใหญ่ มีฐานแฟนบอลเยอะ มีเกียรติประวัติยาวนาน พื้นฐานที่แน่นหนาเหล่านี้ช่วยได้ เพราะพวกเขายังคงความเป็นทีมระดับท็อปของวงการ สามารถหารายได้ที่เหมาะสมต่อการคงสถานะนั้นเอาไว้

ทีมยักษ์ใหญ่ของยุโรปที่ดับไปเลยก็มีเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะยังคงสถานะนั้นเอาไว้ได้แทบทั้งสิ้น เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า ของสเปน ยูเวนตุส อินเตอร์ มิลาน เอซี มิลาน ของอิตาลี บาเยิร์น มิวนิค โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ของเยอรมัน (ฮัมบูร์กเพิ่งจะตกชั้นไป)

ในอังกฤษนอกจากลิเวอร์พูลก็ยังมี แมนฯ ยูไนเต็ด อาร์เซน่อล เอฟเวอร์ตัน สเปอร์ส ที่อยู่ในสถานะแบบนั้น ขณะที่ เชลซี กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นภาพของมหาเศรษฐีที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตมากกว่าแม้กรณีของทีมสิงโตน้ำเงินครามแม้จะไม่มี โรมัน อบราโมวิช พวกเขาก็มีสถานะใหญ่พอตัวและอยู่ในข่ายด้วยกัน

จะว่าเป็นความได้เปรียบของลิเวอร์พูลและทีมใหญ่ๆ เหล่านั้นก็คงไม่ผิด เพียงแต่กว่าจะสร้างความได้เปรียบนี้ขึ้นมาได้ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมาโชกโชนไม่เบาเหมือนกัน

ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกกำลังจะกลับมาเตะกันในกลางสัปดาห์นี้แล้ว ลิเวอร์พูลรอดูผลระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ อาร์เซน่อล คืนวันพุธนี้ก่อนแล้วจึงยกพลข้ามสวนไปหวดกับเอฟเวอร์ตันที่กูดิสัน พาร์ค ในอีก 4 วันให้หลัง

ถ้าผลการแข่งขันเป็นใจ ลิเวอร์พูลก็จะช่วงชิงความได้เปรียบเข้าสู่สถานะทีมใหญ่ของตัวเองได้เร็วขึ้น

พวกเขาคงไม่พลาดการเติมสถานะนั้นให้กับตัวเอง แชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปีน่าจะยิ่งทำให้ทีมหงส์แดงผงาดและตระหง่านขึ้นไปอีก ยิ่งมองดูทิศทางที่กำลังจะเป็นไปในอนาคต บางทีสถานะที่ว่าอาจติดตัวลิเวอร์พูลไปอีกนานจนลืม

มี เจอร์เก้น คล็อปป์ มีนักเตะระดับโลก มีเสน่ห์ดึงดูดพ่อค้าแข้งเก่งๆ มีโครงสร้างศูนย์ฝึกซ้อมที่ยกระดับทีม

มีความสำเร็จในสนาม มีความสำเร็จนอกสนาม มีแฟนบอลเพิ่มขึ้น มีโครงการขยายอัฒจันทร์ มีอำนาจต่อรองในการเจรจา

สกอร์ 6-0 เหนือแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส อาจเป็นแค่ผลการแข่งขันที่ขาดลอยธรรมดาๆ แต่ถ้าอยากจะมองให้ละเอียดจนมันไม่ธรรมดาก็แตกหน่อต่อยอดออกไปได้อีกเยอะ

ลิเวอร์พูลในวันนี้มาไกลกว่าที่เคยยืนอยู่ในแง่คุณภาพของเกม แต่จะถึงระดับหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกไหม บางคนอาจจะยังเห็นเหมือนกับ สแตน คอลลีมอร์ ว่ายัง เพราะประสิทธิภาพในการแข่งขันฤดูกาลนี้แย่มาก

มาตรฐานของทีมอื่นๆ ร่วงหล่นกันไปหมด แมนฯ ซิตี้เหมือนอยู่ในช่วงขาลงแพ้ง่ายขึ้น แมนฯ ยูไนเต็ดก็กำลังตั้งหลัก เชลซีสร้างทีมใหม่ด้วยโค้ชหนุ่ม อาร์เซน่อลกับสเปอร์สยิ่งหนักถึงระดับเปลี่ยนโค้ชเลย ขณะที่ทีมอื่นๆ ที่เหลือไม่ได้อยู่ในข่ายมีพิษสง

ถ้าพูดถึงทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกเราจะนึกถึงทีมไหนกันบ้าง แมนฯ ยูไนเต็ดที่มี เอริค คันโตน่า และชุดทริปเปิ้ลแชมป์ อาร์เซน่อลชุดแชมป์ไร้พ่าย เชลซียุคไร้เทียมทานของโชเซ่ มูรินโญ่ แมนฯ ซิตี้ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า

แน่นอนทีมเหล่านี้ยอดเยี่ยมและพิสูจน์ตัวเองด้วยเกียรติยศระบือลือลั่นมาแล้วทั้งสิ้นและเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงที่จะได้รับการยกย่องอย่างนั้น

ลิเวอร์พูลชุดนี้อาจจะยังไม่ได้เป็นแชมป์แต่ผลงานที่ยอดเยี่ยมระดับนี้ก็ไม่ควรถูกมองข้าม เราจะพูดได้อย่างไรว่าแชมป์ของ เลสเตอร์ ซิตี้ ไม่ยิ่งใหญ่ในระดับหนึ่งในที่สุดเพราะทีมอื่นๆ พากันสะดุดหัวทิ่มกันเองไปหมด เราจะพูดได้ยังไงว่าแชมป์ของแบล็คเบิร์น โรเวอร์สก็ไม่ยิ่งใหญ่ในระดับทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในแชมป์ที่ดี่ที่สุดเพียงเพราะยูไนเต็ดพลาดไม่ชนะเวสต์แฮมในเกมสุดท้าย

เคารพและเข้าใจมุมมองของคอลลีมอร์ ประเด็นของเขาก็มีน้ำหนักพอตัว แต่เชื่อว่ามีแฟนบอลอีกมากมายและไม่เฉพาะเดอะค็อปด้วยที่ไม่เห็นด้วยกับเดอะแมน

.

.

บทความโดย :: ป้าพล็อต

ติดตามข่าวสารได้ที่ :: ข่าวฟุตบอลต่างประเทศ

บทความก่อนหน้า :: ยังไม่รู้ว่าเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้จะฟาดแข้งกันที่ไหน