" "

ชายที่เกือบตาย เพื่อให้ลิเวอร์พูลยิ่งใหญ่

ชายที่เกือบตาย เพื่อให้ลิเวอร์พูลยิ่งใหญ่

ชายที่เกือบตาย เพื่อให้ลิเวอร์พูลยิ่งใหญ่

เชลาร์ อุลลิเยร์ (จบ)

การกำจัดปัญหา โล๊ะนักเตะทิ้งเป็นเรื่องหนึ่ง การหานักเตะใหม่เข้ามายิ่งเป็นเรื่องสำคัญ และอุลลิเยร์ แสดงความสามารถในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เขาทำในช่วงปิดฤดูกาล ก่อนคุมทีมคนเดียวเป็นครั้งแรก ตำนานของทีมหลายคนเข้ามาในช่วงนี้ ฤดูกาล 1999/2000 นักเตะส่วนมากที่อุลลิเยร์ดึงเข้ามาส่วนใหญ่ยังไม่โด่งดัง

ฤดูกาลใหม่แฟนบอลสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลง ลิเวอร์พูลไม่หวือหวาแบบยุครอย เอแวนส์ แต่ความผิดพลาดน้อยลง เล่นเป็นระบบ มีเป้าหมาย และแข็งแกร่ง ซึ่งขาดหายไปจากทีมนานนับทศวรรษ ฮูเปียและอองโชส์ คือส่วนสำคัญในความแข็งแกร่งดังกล่าว ในฐานะสองเซนเตอร์ โดยมีดีตมา ฮามันน์ ยืนปกปักอยู่อีก 1 ชั้น จนกลายเป็นมิดฟิลด์รับดีที่สุดในพรีเมียร์ ลีก ขณะนั้น  ฮามันน์บาดเจ็บตั้งแต่นัดเปิดฤดูกาล ซี่งชนะเชฟฯ เว้นส์เดย์ แต่อาการไม่หนักหนามาก

เกมไม่สวยงาม แต่มีประสิทธิภาพในรอบ 1 ปี ลิเวอร์พูลขยับจากอันดับ 7 มาอยู่ที่ด้วยสถิติเกมรับดีที่สุดในอังกฤษ เสีย 30 ประตูใน 38 นัด พลาดโอกาสเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก แค่ 2 คะแนน เพราะแพ้แบรดเฟิร์ดในนัดสุดท้ายของฤดูกาล แต่โดยรวมถือเป็นฤดูกาลที่ดี นอกเหนือจากนักเตะต่างชาติที่อุลลิเยร์นำเข้ามา ยังมีนักเตะที่ลิเวอร์พูลปั้นขึ้นมาเป็นองค์ประกอบสำคัญ

อุลลิเยร์อาจใช้นักเตะต่างชาติเยอะก็จริง จนกลายเป็นภาพจำของแฟนบอบ แต่ข้อเท็จจริงหนึ่งคือ ความเป็นอังกฤษ ไม่มีผู้จัดการทีม คนไหน ก่อนหรือหลัง กุนซือฝรั่งเศสคนนี้ให้โอกาสนักเตะอังกฤษมากเท่าอุลลิเยร์ เดวิด ธอมป์สัน โดมนิก มัตเตโอ แดนนี่ เมอร์ฟี่ย์ และเจมี่ เร้ดแน็ปป์ เป็นแกนหลักของทีมในฤดูกาล 1999-2000 เช่นเดียวกับไมเคิ่ล โอเว่น ซี่งขณะนั้น คือนักเตะสำคัญของอังกฤษ แล้วยังมี เจมี่ คาร์ราเกอร์กับสตีเว่น เจอร์ราร์ดที่เริ่มก้าวขึ้นมา

คาร์ราเกอร์และเจอร์ราร์ดคือตำนานที่อุลลิเยร์สร้างไว้ด้วยหลักการที่ว่า นอกจากความแข็งแกร่งแล้ว เขาต้องให้โอกาสนักเตะที่สโมสรสร้างเองมีโอกาสก้าวหน้า

คาร์ราเกอร์เล่นนัดแรกในยุคของเอแวนส์ เมื่อปี 1997 เป็นนักเตะที่ขยัน แต่ความสามารถไม่ดีนัก บวกกับการทำตัวนอกสนามแทบจะทำให้หมดโอกาสเติบโตก่อนได้เกิด เรียกว่า หากอุลลิเยร์เมินนักเตะจากบูเติ้ล (Bootle) คงไม่มีใครตำหนิเขาได้  แต่เขาทำตรงกันข้าม ให้เวลากับคาร์ราเกอร์ เช่นเดียวกับพยายามทำความรู้จักนักเตะตามนิสัยครู จนพบว่า นอกจากความเฮี้ยวของนักเตะคนนี้แล้ว คาร์ราเกอร์พร้อมรับฟังและปรับปรุงตัวเอง

“เจมี่ฉลาก เขาอ่านเกมดี พร้อมจะเรียนรู้ ทั้งจากการเล่นที่ดีและไม่ดี” อุลลิเยร์กล่าวไว้ในหนังสือ Ring of fire “เขาอดทน กับตัวเองและกับผม ซึ่งผมบอกเจมี่ตั้งแต่แรกว่า ในที่สุด เขาจะค้นพบตัวเอง”  นั่นคือสิ่งที่คาร์ราเกอร์ทำ ก้มหน้าก้มตาเล่น ไม่ว่าจะตำแหน่งไหน เซนเตอร์ หรือแบ็ค ก่อนเป็นนักเตะที่เล่นให้ลิเวอร์พูลนาน 17 ปี ลงสนามมากกว่า 700 นัด ก่อนแขวนสตั๊ด

สำหรับเจอร์ราร์ด ทุกอย่างชัดเจนแต่แรก อุลลิเยร์มั่นใจตั้งแต่เกมแรกที่เห็นพรสวรรค์ของมิดฟิลด์คนนี้เล่นในทีมเยาวชน เจอแบล็คเบิร์น บวกความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จ ซึ่งผ่านความเจ็บปวดมากมาย เจอร์ราร์ดเป็นวัยรุ่น แต่ต้องเล่นแบบนักเตะอาขีพที่ผ่านมาเกมโชกโชน และสาหัสกว่าร่างกายนักเตะอายุไม่ถึง 20 จะรับได้ เขาบาดเจ็บหลายครั้ง

นัดแรกของเจอร์ราร์ดกับทีมชุดใหญ่คอ แบล็คเบิร์น 29 พฤศจิกายน 1998 ความอดทนคือสิ่งสำคัญกว่าการชี้ทาง นั่นคือสิ่งที่อุลลิเยร์แสดงออก เขาส่งดาวรุ่งคนนี้ไปรับการบำบัดกับนักกายภาพที่ฝรั่งเศส ยืนยันว่า สตีเว่น เจอร์ราร์ดมีค่าขนาดไหนสำหรับอุลลิเยร์ จนในที่สุด เขาแข็งแกร่งพอจะเล่นได้อย่างต่อเนื่อง และผลงานดี

แต่ใช่ว่า เด็กปั้นของอุลลิเยร์ทุกคนจะประสบความสำเร็จ ธอมป์สันและมัตเตโอ แทบจะสอบตกตั้งแต่ฤดูกาลแรก ทั้งสองโดนขายไปโคเวนทรีและลีดส์โดยลำดับในปี 2000 ซึ่งอุลลิเยร์เสริมทีมอีก ด้วยสองนักเตะรุ่นเก๋า มาร์คุส บับเบิ้ลและแกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ เพื่ออุดช่องว่างของความเก๋า อันเป็นผลทำให้ทีมพลาดในช่วงท้ายฤดูกาลที่ผ่านมา นั่นคือความเฉียบแหลมของอุลลิเยร์ เพราะฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จสูงสุดเรื่องจำนวนถ้วยแชมป์ในหนึ่งฤดูกาล นับจากปี 1983-84

 

เทรเบิ้ลแชมป์ คือจุดสูงสุดของอุลลิเยร์กับลิเวอร์พูล เอฟเอ คัพ อาจมีโชคเข้ามาเกี่ยวข้อง และโอเว่น พีคพอดี เขาคนเดียวที่พลิกสถานการณ์ทำให้ทีมชนะอาร์เซน่อล แต่ทีมแสดงคุณภาพในฤดูกาลที่แสนโหดและยาวนาน เช่นการชนะ แมนฯ ยูฯและเอฟเวอร์ตัน เหย้า-เยือน เช่นเดียวกับ ชัยชนะเหนือบาร์เซโลน่าในรอบรองของยูฟ่า คัพ หลังจากเสมอที่คัมป์นู 0-0 ในนัดแรก อันเป็นเกมที่แสดงให้เห็น ลิเวอร์พูลเติบโตขึ้นด้านแท็คติกเมื่ออยู่กับอุลลิเยร์

จนพูดได้ว่า นี่คือทีมฟุตบอลอาชีพอย่างแท้จริง

ลิเวอร์พูลพยายามเดินหน้าต่อ ในฤดูกาล 2001/02  จบฤดูกาลด้วยอันดับดีกว่าแมนฯ ยูฯเป็นครั้งแรกในยุคพรีเมียร์ ลีก แต่พลาดแชมป์ เพราะความยอดเยี่ยมของอาร์เซน่อล ซึ่งคว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นครั้งที่ 2 ใน 4 ฤดูกาล แต่เป็นจุดเริ่มต้นของบทส่งท้าย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับ คนกุมบังเหียนของทีม

 

พักครึ่ง แทนที่จะได้แก้เกม อุลลิเยร์ต้องขึ้นรถพยาบาลเพราะเกิดเจ็บหน้าอก ตอนแรก เขาคิดว่า แค่อาการไข้ และคุมทีมข้างสนามในครึ่งหลัง เพราะตอนนั้น ลิเวอร์พูลตามอยู่ 1-0 แต่แพทย์ประจำทีม มาร์ค วอลเตอร์ วัดความดันเลือดแล้วยืนยันว่า อุลลิเยร์จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด โดยเขาเปิดเผยเองว่า เวลาสำคัญมากสำหรับโรคหัวใจ “หากรอจนเกมจบ การจราจรรอบแอนฟิลด์จะติดขัด รถพยาบาลไม่มีทางฝ่าออกไปทันเวลา แต่พักครึ่ง ถนนโล่ง และผมโชคดีมาก”

สำคัญกว่าโชคคือ การวินิจฉัยของมาร์ค วอลเลอร์ ที่บอกให้ส่งอุลลิเยร์ไปโรงพยาบาลบรอดกรีน ซี่งเป็น 1 ใน 3 โรงพยาบาลของอังกฤษขณะนั้นที่มีแผนกหลอดเลือดหัวใจ แถมแพทย์ที่ทำการผ่าตัดหัวใจอุลลิเยร์ ควรจะพักร้อนไปเที่ยวที่อื่น แต่ตัดสินใจอยู่ในเมืองลิเวอร์พูล เพราะเหนื่อยเกินกว่าจะเดินทาง

อุลลิเยร์ต้องพักงานตลอดทั้งปี 2001 และฟิล ธอมป์สัน ทำงานได้ดีมากระหว่างที่อุลลิเยร์ไม่อยู่ รักษาระดับผลงานของลิเวอร์พูลได้ดีทั้งในลีกและแชมเปี้ยนส์ ลีก อุลลิเยร์ตัดสินใจกลับมาทำงานอีกครั้งหลังพักไป 5 เดือน เขาปรากฎตัวข้างสนามโดยไม่ประกาศต่อสาธารณชนล่วงหน้า เกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ช่วงที่สอง  รับการเยือนของโรม่า วันที่ 19 มีนาคม และแอนฟิลด์ตอบรับการกลับมาของอุลลิเยร์อย่างยอดเยี่ยม และทีมชนะ 2-0 ด้วยประตูของลิตมาเนนกับเฮสกี้

อย่างไรก็ตาม สภาพร่างกายของอุลลิเยร์ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

และอาจรวมถึงการตัดสินใจ ซึ่งเป็นจุดแข็งของอุลลิเยร์ การมองนักเตะ หน้าร้อน 2002 เขาพยายามเสริมทีม เพื่อนำทีมไปสู่ความสำเร็จ จากการคว้ารองแชมป์ในฤดูกาลที่เพิ่งผ่านไป เอล ฮัดจิ-ดุยุฟ ซาลิฟ ดีเยา และบรูโน่ เชย์รู นักเตะที่ทำให้แฟนลิเวอร์พูลส่ายหน้ามากกว่ายินดี เมื่อได้ยินชื่อ

ด้านแท็คติก ดูเหมือนจะล้มเหลวอีกมากกว่าก้าวหน้า เกมรับไม่เหนียวแน่น เกมรุกไม่เฉียบคม ขาดประสิทธิภาพ ส่งผลให้ทีมร่วงมาอยู่ที่ 5 ในฤดูกาล 2002/03 อดเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลต่อมา 2003/04  ได้ที่ 4 และสัมผัสฟุตบอลยุโรปอีกครั้ง แต่ไม่เพียงพอที่จะเซฟอุลลิเยร์ไว้กับตำแหน่งได้ ที่สำคัญ ลิเวอร์พูลซึ่งคว้าอันดับ 4 ตามหลังอาร์เซน่อล ที่เป็นแชมป์ถึง 30 คะแนน

อุลลิเยร์บอกว่า การผ่าตัดหัวใจ มีผลต่อร่างกาย ไม่ใช่สมอง เขายังตัดสินใจได้ดี แต่ที่ขาดหายไปคือ ความสามารถในการเดินทางไปต่างประเทศ หรือที่ต่างๆ เพื่อดูนักเตะด้วยตาของตัวเอง ดังนั้น การซื้อนักเตะพิจารณาจากช้อมูลจากแมวมองเป็นส่วนใหญ่ เช่น ดียุฟ ดิเยาและเชย์รู

อาจเป็นการแก้ตัว เพราะสุดท้ายจุดสำคัญคือผลในสนาม ฤดูกาลสุดท้าย คืออะไรที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ตกรอบ 5 เอฟเอ คัพ ด้วยการแพ้ปอร์ทสมัธในบ้าน ตกรอบ 4 ลีก คัพด้วยการแพ้โบลตันในบ้าน ยูฟ่า คัพตกรอบ 4 แพ้โอลิมปิก มาร์เซย์ จากสองนัด (1-1ในบ้าน และแพ้ ที่มาร์กเซย์ 2-1)

24 พฤษภาคม 2004 อุลลิเยร์แถลงข่าวครั้งสุดท้ายในนาม ผจก ลิเวอร์พูล

“หากลิเวอร์พูลอยากกลับไปทำเหมือนยุค 70 หรือ 80 ก็ทำได้ แต่ไม่ใช่กับผม”

นั่นคือการจากลาของเชลาร์ อุลลิเยร์ และเข้าสู่ยุคของราฟาเอล เบนิเตซ

ปัจจุบัน อุลลิเยร์ อายุ 72 ปี ไม่คุมทีมอีกเลย หลังจากคุมแอสตัน วิลล่า เมื่อ 2010-11 เขาอาจเป็นที่รักประมาณหนึ่งของเดอะ ค็อป แต่คงไม่มากเท่ากับกุนซือคนอื่น อาทิ ราฟาเอล เบนิเตซ หากอุลลิเยร์ไม่จากไป แฟนลิเวอร์พูลอาจไม่ได้สัมผัส ค่ำคืนมหัศจรรย์แห่งอิสตันบูล แต่ถ้าไม่มีอุลลิเยร์ ลิเวอร์พูลก็ไม่รู้ว่าจะดำดิ่งอยู่ตรงไหน

จากแอนฟิลด์ที่สิ้นมนต์ชลังเมื่อ พฤศจิกายน 1998 อุลลิเยร์ฉุดให้ลิเวอร์พูลลุกขึ้นยืนได้ ด้วยสติปัญญา สัญชาตญาณ และพรสวรรค์ เขาอาจไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ ลีก แชมเปี้ยนส์ ลีก คว้าเทรเบิ้ลแบบมิคกี้ เมาส์ แต่สิ่งที่อุลลิเยร์ทิ้งไว้มากกว่าถ้วยรางวัล สตีเว่น เจอร์ราร์ด กลายเป็นกัปตันสำคัญที่สุดคนหนึ่ง จนนักเตะบอกว่า นี่คือพ่อคนที่สอง เพราะเขาเติบโตและใช้ชีวิตช่วงสำคัญของนักเตะกับอุลลิเยร์

ฟิล ธอมป์สัน ผู้ช่วยที่จงรักภักดีกับอุลลิเยร์มาก ต่อให้เขาผลงานดีแค่ไหน ฟิล ธอมป์สัน ไม่มีวันทรยศอุลลิเยร์ “แฟนบอลอาจไม่หลงไหลกับสิ่งที่อุลลิเยร์ทำให้กับสโมสร แต่เขาทำงานแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สร้างทีมขึ้นมา ยิ่งกว่านั้น อย่าลืมว่า เขาเกือบเอาชีวิตมาทิ้งเพื่อต้องการให้ลิเวอร์พูลกลายเป็นยอดทีมอีกครั้ง”

กิตติกร อุดมผล

Facebook fanpage: Captain No.12

ติดตามข่าวสารได้ที่ :: ข่าวฟุตบอลต่างประเทศ

บทความก่อนหน้า :: Spice World ของ Spice Boy