" "

#แชมป์นัดไหนเท่านั้น

#แชมป์นัดไหนเท่านั้น

แชมป์นัดไหนเท่านั้น

ลิเวอร์พูลยังมีโอกาสเป็นแชมป์ในเกมวันพุธกับคริสตัล พาเลซ

ผลเสมอที่กูดิสัน พาร์ค ทำให้หงส์แดงต้องการอีก 5 แต้มเพื่อทิ้งขาดไม่ให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ตามได้ทันในอีก 8 เกมที่เหลือ

หากนั่นเป็นในทางทฤษฎี ซึ่งมีพื้นฐานจากเงื่อนไขที่ว่าทีมเรือใบสีฟ้าต้องเก็บชัยชนะให้ได้ทุกเกมที่เหลืออยู่ด้วย

เพราะฉะนั้นในภาคปฏิบัติและความเป็นจริง แม้ทีมอย่างซิตี้จะมีศักยภาพพอที่จะกำชัยได้ทุกเกมที่ลงเตะ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้อย่างนั้นเมื่อมีทั้งโปรแกรมเยือนเชลซีและเหย้าลิเวอร์พูลรออยู่

ยังไม่รวมคู่แข่งแสบๆ อย่าง เซาธ์แฮมป์ตัน หรือ ไบรท์ตัน สองทีมนี้เล่นในบ้านได้ดีแม้จะเป็นช่วงโควิด-19 ไม่มีแฟนบอลเข้าสนามแต่ก็คงไม่ใช่แค่เดินไปควักสามคะแนนกลับบ้านง่ายๆ แน่

หนึ่งในนั้นคือเบิร์นลี่ย์

เกมคืนนี้ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ซิตี้จะต้อนรับเบิร์นลี่ย์ของ ฌอน ไดช์

ถ้าพวกเขาชนะตามฟอร์ม ลิเวอร์พูลก็ต้องรอไปอีก ไม่สามารถฉลองแชมป์ได้แม้จะเอาชนะคริสตัล พาเลซ ในวันพุธนี้

แต่ถ้าซิตี้ชนะเบิร์นลี่ย์ไม่ได้ เงื่อนไขจะกลับมาที่ลิเวอร์พูลทันที คือถ้าซิตี้แพ้ แต้มที่ลิเวอร์พูลต้องการจะลดจาก 5 เหลือแค่ 2 นั่นหมายความว่าถ้าเอาชนะปราสาทเรือนแก้วได้ก็คว้าแชมป์เลย ส่วนถ้าผลคืนมันเดย์ไนท์ของซิตี้ออกมาเป็นเสมอ แต้มที่หงส์แดงต้องการจะลดจาก 5 เหลือ 3 ยังไม่พอแม้จะเอาชนะพาเลซได้เนื่องจากแต้มยังไม่ขาด

ลิเวอร์พูลไม่ได้ลุ้นแค่ผลเตะของตัวเองทีมเดียว หากทุกนัดที่ซิตี้ลงสนามก็เหมือนพวกเขาลงเล่นด้วย เดอะค็อปจึงสามารถเชียร์ได้อย่างบันเทิงเริงใจ ทุกแต้มที่ซิตี้เสียไปหมายถึงภารกิจที่เบาลงในการเก็บแต้มให้ถึงเกณฑ์ขาดลอย ถ้าซิตี้เสมอแต้มจะหายไปอีก 2 แต้ม ถ้าซิตี้แพ้แต้มก็จะหายไปอีก 3 แต้ม

เวลานี้ลิเวอร์พูลต้องการ 5 แต้ม จาก 8 เกม ซึ่งถ้านับให้ละเอียด เดอะค็อปไม่ได้ลุ้นแค่ 8 เกมนี้หรอก หากยังรวมถึง 9 เกมของซิตี้ด้วย

นั่นหมายความว่าลิเวอร์พูลต้องการ 5 คะแนนจาก 17 เกมที่เหลือต่างหาก (ลิเวอร์พูล 8 เกม แมนฯ ซิตี้ 9 เกม)

ยิ่งคิดอย่างนี้ก็ยิ่งเห็นว่าแชมป์พรีเมียร์ีลีกฤดูกาลนี้ใกล้มือยอดทีมเมอร์ซี่ย์ไซด์มากแค่ไหน

อย่างไรก็ตามลิเวอร์พูลคงไม่ต้องรอจนถึงนัดที่ 8, 10, 13, 15 หรือ 17 หรอก ลองพิจารณาดูมีความเป็นไปได้ที่การรอคอยจะจบภายใน 5-6 นัดข้างหน้า เริ่มตั้งแต่คืนนี้เลย

จันทร์ 22 มิ.ย. แมนฯ ซิตี้ – เบิร์นลี่ย์
พุธ 24 มิ.ย. ลิเวอร์พูล – คริสตัล พาเลซ
พฤหัสฯ 25 มิ.ย. เชลซี – แมนฯ ซิตี้
พฤหัสฯ 2 ก.ค. แมนฯ ซิตี้ – ลิเวอร์พูล
อาทิตย์ 5 ก.ค. ลิเวอร์พูล – แอสตัน วิลล่า
อาทิตย์ 5 ก.ค. เซาธ์แฮมป์ตัน – แมนฯ ซิตี้

ว่ากันตามคะแนนที่ลิเวอร์พูลต้องการและจำนวนเกมที่เหลืออยู่ มันไม่น่าจะยืดเยื้อเกิน 5-6 นัดนี้ อย่างเร็วที่สุดคือเช็กบิลคว้าแชมป์ในเกมชนะคริสตัล พาเลซ (ซึ่งซิตี้ต้องแพ้เบิร์นลี่ย์ก่อน) ส่วนอย่างช้าก็ไม่ควรจะเกินสัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคมที่ทั้งหงส์แดงและเรือใบสีฟ้าลงเตะวันเดียวกันแต่จ่าฝูงเล่นก่อน

ปัจจัยที่จะทำให้ลิเวอร์พูลเป็นแชมป์เวลานี้ไม่ได้มีแค่พวกเขาเก็บได้ 5 คะแนนจาก 8 นัดที่เหลือไหม หากยังรวมแมนฯ ซิตี้เข้าไปด้วยว่าจะชนะรวดในอีก 9 เกมของพวกเขาหรือเปล่า

มันคงเป็นยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ถ้าลิเวอร์พูลจะถูกแมนฯ ซิตี้ปาดหน้าแซงเข้าป้าย เพราะฉะนั้นเดอะค็อปคงไม่ต้องกังวลใจมากเกินไป ผลเสมอที่กูดิสัน พาร์ค ไม่ได้น่าหวั่นวิตกอะไรเลย

เกมเยือนทอฟฟี่สีน้ำเงินคือเกมแรกที่นักเตะลิเวอร์พูลกลับมาลงสนามหลังหยุดไป 3 เดือน แน่นอนว่าเกมใหญ่เกมหนักอย่างนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่อยากเสี่ยงจนเกินความจำเป็น

ใครที่มีปัญหาบาดเจ็บไม่สมบูรณ์ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรือเข็นลงสนาม เราจึงได้เห็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ นั่งสำรองยาวไม่ได้สัมผัสเกม ขณะที่ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ไม่มีชื่อเลย

หากการจัดตัวของคล็อปป์ก็ยังถือว่าน่าสนใจมากตรงที่มอบโอกาสตัวจริงให้ทั้ง นาบี เกอิต้า และ ทาคุมิ มินามิโนะ เหมือนจะรู้ว่าแฟนบอลเองก็อยากเห็นเพราะตามข่าวบอกว่า 2 คนนี้ฟอร์มดีในการซ้อม

อย่างไรก็ตาม ภาพที่ได้เห็นคงไม่ใช่การสร้างอิมแผ็กต่อเกมในระดับเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง โดยตำแหน่งแล้ว เกอิต้าลงมาแทน จินี่ ไวจ์นัลดุม ส่วน มินามิโนะ ลงมาแทน ซาลาห์ การจะเล่นได้อย่างโดดเด่นจนเป็นที่พูดถึงนั้นหมายความว่าทั้งคู่ต้องสร้างผลงานในเกมนี้ระดับเดียวกับที่คนที่พวกเขาเล่นแทนเคยทำได้

ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้วสำหรับมาตรฐานของไวจ์นัลดุมที่เล่นร่วมกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ฟาบินโญ่ มาตลอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับครีมที่ ซาลาห์ ทำเอาไว้ มาตรฐานที่ดาวเตะอียิปต์เซ็ตไว้นั้นยากจริงๆ ที่ใครจะทำได้เท่าหรือดีกว่า

เอฟเวอร์ตันไม่ใช่ทีมกระจอกงอกง่อยที่ไหน ที่สำคัญเกมนี้เป็นดาร์บี้แมตช์ไม่มียอมกันง่ายๆ อยู่แล้ว สถิติก็ยิ่งบอกชัดเจนถ้าเป็นบ้านของพวกเขาเอฟเวอร์โตเนียนไม่เคยยอมง่ายๆ

แม้จะเอาชนะลิเวอร์พูลไม่ได้มา 10 ปีเข้าไปแล้ว (ครั้งล่าสุดชนะ 2-0 ที่กูดิสัน พาร์ค เดือนตุลาคมปี 2010) แต่ 7 เกมก่อนหน้าเกมเมื่อคืนวันอาทิตย์ เอฟเวอร์ตันแพ้เพื่อนร่วมเมืองคาถิ่นตัวเองแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

ที่เหลืออีก 6 นัดเสมอกันรวด สกอร์มีตั้งแต่ 0-0 1-1 2-2 ไปจนถึง 3-3

นั่นบอกกับเราว่าจะบุกชนะเอฟเวอร์ตันนั้นไม่ง่าย.. ยิ่งกับคู่ต่อสู้ชื่อลิเวอร์พูลด้วยแล้วก็ยิ่งเหมือนพวกเขามีพลังพิเศษขึ้นอีก 50 เปอร์เซนต์

ความเสี่ยงในเกมที่หนักแบบดาร์บี้แมตช์กับสถานการณ์ที่ค่อนข้างลอยลำในลีกทำให้คล็อปป์เซฟลูกทีมมากเป็นพิเศษ เขาใช้ตัวสำรองครบทั้ง 5 คนตามโควต้า ไม่มีนักเตะที่ไม่ฟิตถูกเข็นลงสนาม

ที่ยิ่งน่าสนใจคือนักเตะอีก 6 คนที่ได้เล่นครบทุกนาทีเมื่อคืนวันอาทิตย์จะได้เล่นไหมในเกมวันพุธกับคริสตัล พาเลซ ถ้าได้เล่นจะเล่นนานเท่าไหร่ เต็ม 90 นาทีอีกครั้งหรือเปลี่ยนตัวหมุนเวียน

อลีสซง เบ็คเกอร์ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ฟาบินโญ่ และ ซาดิโอ มาเน่

บางทีจับตาดู 6 คนนี้ว่าจะเจอชะตากรรมอย่างไรจาก เจอร์เก้น คล็อปป์ ในเกมที่แอนฟิลด์อาจสนุกกว่า เพราะที่ผ่านมาก็ไม่มีใครเดาใจคล็อปป์ออกสักคน

เรื่องแชมป์นั้นก็อยากปิดจ๊อบให้เร็วนั่นแหละ แต่เขารักลูกทีมของเขายิ่งกว่า อยากถนอมร่างกายทุกคนให้ดีที่สุด แล้วค่อยๆ เดินไปสู่ตำแหน่งแชมป์ด้วยสภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง

.

.

บทความโดย :: ป้าพล็อต

ติดตามข่าวสารได้ที่ :: ข่าวฟุตบอลต่างประเทศ

บทความก่อนหน้า :: ก้าวมาไกลของหงส์แดง